วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
"เขื่อนภูมิพล "
วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
"ไปดูกันว่าภาคกลางเค้ามีไรน่าเที่ยวบ้าง"
window.google_render_ad();
อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
"ไปเที่ยวตะวันออกเฉียงเหนือกัน"
วัดถ้ำกลองเพล
เดิมสันนิษฐานว่าเป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยขอมเข้ามาครอบครองแผ่นดินแห่งนี้ แต่ไม่มีหลักฐานว่าสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.ใด ต่อมาเป็นวัดร้าง ไม่มีพระภิกษุสามเณรจำพรรษา จนกระทั่งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ พระอาจารย์หลวงปู่ขาว อนาลโย พระวิปัสสนากรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ ได้อาศัยวัดแห่งนี้เป็นสถานที่วิปัสสนากรรมฐาน โดยใช้พื้นที่ที่เกิดจากหมู่ก้อนหินขนาดใหญ่ ๓-๔ ก้อน ที่มีหลืบและชะโงกหิน ก่อเป็นหลังคาคอนกรีตเชื่อมถึงกัน ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นกลายเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ สามารถจุคนได้หลายร้อยคน เพื่อใช้เป็นที่บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ที่นั่นจนกระทั่งมรณภาพเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ภายในบริเวณวัดบรรยากาศร่มรื่น เงียบสงบ มีเนื้อที่กว้างขวาง ปกคลุมไปด้วยแมกไม้ ป่าเขียว และสวนหินธรรมชาติรูปร่างประหลาดดูสวยงามกลาดเกลื่อนวัด มีถ้ำซึ่งภายในถ้ำมีกลองโบราณสองหน้า หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “กลองเพล” ภายในถ้ำมีรูปปั้นของหลวงปู่ขาว ตามซอกหินภายในถ้ำมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่หลายองค์ ประกอบด้วย พระพุทธรูปปางสมาธิ พระพุทธรูปปางไสยาสน์ พระพุทธรูปปัญฑรนิมิตร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางลีลาที่จำหลักลงในก้อนหิน และมีพระสังกัจจายน์องค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่บริเวณด้านหน้าทางเข้าถ้ำกลองเพล จากวัดถ้ำกลองเพลไม่ไกลนักมีถนนลาดยาง ลัดเลาะไปตามแนวป่าและหมู่ก้อนหินรูปทรงแปลกๆ เป็นระยะทาง ๒ กิโลเมตร ก็จะถึงอนุสรณ์สถานของหลวงปู่ขาว ที่ประกอบด้วย
วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
"ยโสธร เมืองแห่งประเพณีบุญบั้งไฟ"
ข้อมูลทั่วไป
จังหวัดยโสธรจากพงศาวดารเมืองยโสธรได้บันทึกไว้ว่า เมื่อราวๆ ปี พ.ศ. 2340 พระเจ้าวรวงศา (พระวอ) เสนาบดีเก่าเมืองเวียงจันทน์กับสมัครพรรคพวกเดินทางอพยพจะไปอาศัยอยู่กับเจ้านครจำปาศักดิ์ เมื่อเดินทางถึงดงผีสิงห์เห็นเป็นทำเลดี จึงได้ตั้งหลักฐานและสร้างเมืองที่นี่เรียกว่า “บ้านสิงห์ท่า” หรือ “เมืองสิงห์ท่า” ต่อมาใน พ.ศ. 2357 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ยกฐานะบ้านสิงห์ท่าแห่งนี้ขึ้นเป็น “เมืองยโสธร” ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ มีเจ้าเมืองดำรงบรรดาศักดิ์เป็นพระสุนทรราชวงศา
ในปี พ.ศ. 2515 ได้ยกฐานะขึ้นเป็นจังหวัดยโสธร โดยประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 70 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2515 ได้แยกอำเภอยโสธร อำเภอคำเขื่อนแก้ว อำเภอมหาชนะชัย อำเภอป่าติ้ว อำเภอเลิงนกทา และอำเภอกุดชุม ออกจากจังหวัดอุบลราชธานี และรวมกันเป็นจังหวัดยโสธร ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2515
อาณาเขต การปกครอง
จังหวัดยโสธรมีเนื้อที่ประมาณ 4,161 ตารางกิโลเมตร เป็นจังหวัดที่มีขนาดเล็กที่สุดในเขตอีสานตอนล่าง จังหวัดยโสธรแบ่งการปกครองออกเป็น 9 อำเภอ คือ อำเภอเมืองยโสธร คำเขื่อนแก้ว มหาชนะชัย ป่าติ้ว เลิงนกทา กุดชุม ค้อวัง ทรายมูล และไทยเจริญ
ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดมุกดาหาร จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดนครพนมทิศใต้ ติดต่อกับจังหวัดศรีสะเกษทิศตะวันออก ติดต่อกับจังหวัดอุบลราชธานีทิศตะวันตก ติดต่อกับจังหวัดร้อยเอ็ด
การเดินทาง
ทางรถยนต์ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน) ถึงจังหวัดสระบุรีจึงเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) ผ่านจังหวัดนครราชสีมาไปทางอำเภอพิมาย ผ่านอำเภอหนองสองห้อง และอำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น แล้วจึงแยกเข้าทางหลวงหมายเลข 23 ผ่านอำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม และจังหวัดร้อยเอ็ด อำเภอธวัชบุรี อำเภอเสลภูมิ แล้วจึงถึงจังหวัดยโสธร รวมระยะทางประมาณ 531 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 ชั่วโมง
ทางรถไฟหรือเครื่องบินสำหรับผู้โดยสารโดยรถไฟและเครื่องบิน จะต้องลงที่จังหวัดอุบลราชธานี แล้วต่อรถยนต์มาลงที่ยโสธรอีกประมาณ 99 กิโลเมตร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับตารางรถไฟ โทร.1690,0 2223 7010,0 2223 7020 www.railway.co.th และตารางการบิน โทร. 1566,0 2628 2000 ,0 2356 1111 www.thaiairways.com
ทางรถโดยสารประจำทางจากกรุงเทพฯ มีรถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศ สายกรุงเทพฯ-ยโสธร ทุกวัน รายละเอียดสอบถามได้ที่ สถานีเดินรถสายตะวันออกเฉียงเหนือ ถนนกำแพงเพชร 2 โทร. 0 2936-2852-66 www.transport.co.th
การเดินทางจากอำเภอเมืองยโสธรไปยังอำเภอต่าง ๆ
อำเภอเมือง - กิโลเมตรอำเภอทรายมูล 18 กิโลเมตรอำเภอคำเขื่อนแก้ว 23 กิโลเมตรอำเภอป่าติ้ว 28 กิโลเมตรอำเภอกุดชุม 37 กิโลเมตรอำเภอมหาชนะชัย 41 กิโลเมตรอำเภอไทยเจริญ 50 กิโลเมตรอำเภอเลิงนกทา 69 กิโลเมตรอำเภอค้อวัง 70 กิโลเมตร
หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ
โรงพยาบาลยโสธร โทร. 0 4571 2580, 0 4572 2486-7ประชาสัมพันธ์จังหวัด โทร. 0 4571 1093สำนักงานจังหวัด โทร. 0 4571 2722สถานีตำรวจภูธรจังหวัดยโสธร โทร. 0 4571 1683–4
"หนองคาย เมืองบั้งไฟพญานาค"
ข้อมูลทั่วไป :
หนองคาย เมืองชายแดนริมฝั่งแม่น้ำโขง เป็นประตูสู่เมืองเวียงจันทน์ เมืองหลวงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) โดยมีสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเชื่อมระหว่างสองประเทศจังหวัดหนองคายอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ 615 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 7,332 ตารางกิโลเมตร เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ติดแม่น้ำโขงมากที่สุดเป็นระยะทาง 320 กิโลเมตร เหมาะแก่การทำเกษตรกรรมและประมงน้ำจืด ทั้งยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ สามารถเดินทางข้ามไปเที่ยวยังฝั่งลาวได้โดยสะดวก มีวัดวาอารามและวัฒนธรรมวิถีชีวิตชาวบ้านที่น่าสนใจ โรงแรมที่พักที่สะดวกสบาย หลากหลายไปด้วยอาหารและสินค้าของฝาก ล้วนเป็นเสน่ห์ดึงดูดให้ผู้คนเดินทางมาเยือนเมืองริมโขงแห่งนี้
ภูมิอากาศ
เนื่องจากจังหวัดหนองคาย มีภูมิประเทศ ติดกับแม่น้ำโขง ทำให้มีฝนตกชุกในฤดูฝน ระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึง ตุลาคม ในฤดูหนาว ราวเดือนพฤศจิกายน ถึงกุมภาพันธ์จะมีอากาศหนาวเย็น เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ เป็นที่สูง อุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 11 องศาเซลเซียส ส่วนในฤดูร้อน ตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงเมษายน อากาศจะร้อนจัด อุณหภูมิสูงสุดประมาณ 35 องศาเซลเซียส
หนองคาย เมืองน่าอยู่อันดับ 7 ของโลก
นิตยสาร Modern Maturity ของสหรัฐอเมริกา จัดให้หนองคายเป็นเมืองน่าอยู่ลำดับที่ 7 ของโลก สำหรับคนวัยเกษียณชาวอเมริกัน จากการสำรวจ 40 เมืองทั่วโลก โดยอาศัยตัวชี้วัด 12 ตัว คือ ภูมิอากาศ ค่าครองชีพ วัฒนธรรม ที่อยู่อาศัย สาธารณูปโภค การคมนาคม บริการทางการแพทย์ สภาพแวดล้อม กิจกรรมนันทนาการ ความปลอดภัย ความมั่นคงทางการเมือง และการเข้าถึงเทคโนโลยี
ประวัติเมืองหนองคาย
ประวัติศาสตร์ของเมืองหนองคายเริ่มต้นเมื่อกว่า 200 ปีเศษ พื้นที่บริเวณริมฝั่งโขงนี้เดิมเคยเป็นที่ตั้งของเมืองเล็ก ๆ 4 เมือง คือ เมืองพรานพร้าว เมืองเวียงคุก เมืองปะโค เมืองไผ่ (บ้านบึงค่าย) ปัจจุบันยังพบซากโบราณสถานอยู่ตามวัดต่าง ๆ ริมแม่น้ำโขงบนเส้นทางท่าบ่อ-ศรีเชียงใหม่
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอนุวงศ์ กษัตริย์ผู้ครองนครเวียงจันทน์ได้ตั้งตนเป็นกบฎ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าให้เจ้าพระยาราชเทวี ยกทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์ โดยมีท้าวสุวอธรรมา (บุญมา) เจ้าเมืองยโสธร และพระยาเชียงสา เป็นกำลังสำคัญในการช่วยทำศึกจนได้รับชัยชนะ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯให้ท้าวสุวอขึ้นเป็นเจ้าเมือง โดยจัดตั้งเมืองใหญ่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขงคอยควบคุมพื้นที่และเลือกสร้างเมืองที่บ้านไผ่ แล้วตั้งชื่อเมืองว่า หนองคาย ตามชื่อหนองน้ำใหญ่ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดกับแม่น้ำโขงอันเป็นเส้นกั้นพรมแดนระหว่าง ประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทิศใต้ ติดกับจังหวัดอุดรธานี, สกลนคร ทิศตะวันออก ติดกับจังหวัดนครพนม ทิศตะวันตก ติดกับจังหวัดเลย
การเดินทาง
ทางรถยนต์
จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านสระบุรี แล้วเข้าทางหลวงหมายเลข 2 ผ่านนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย รวมระยะทาง 615 กิโลเมตร
ทางรถไฟ
การรถไฟแห่งประเทศไทย มีขบวนรถไฟจากกรุงเทพฯ-หนองคาย ทุกวัน ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่หน่วยบริการเดินทาง โทร. 1690, 0 2223 7010,0 2223 7020 www.railway.co.th สถานีรถไฟหนองคาย โทร. 0 4241 1592
ทางรถโดยสารประจำทาง
บริษัท ขนส่ง จำกัด มีรถโดยสารประจำทางทั้งรถโดยสารธรรมดาและรถปรับอากาศไปหนองคาย ทุกวัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สถานีขนส่งหมอชิต 2 (จตุจักร) โทร. 0 2936 2852-66 นอกจากนี้ ยังมีบริษัทเอกชนหลายแห่งที่บริการเดินรถไปจังหวัดหนองคาย เช่น 407 พัฒนา โทร. 0 2992 3475-8 , 0 4241 1261 ชาญทัวร์ จำกัด โทร. 0 2618 7418, 0 4241 2195 บารมีทัวร์ โทร. 0 2537 8249, 0 4246 0345 เชิดชัยทัวร์ โทร. 0 2936 0253 , 0 4246 1067 http://www.transport.co.th/
ทางเครื่องบิน
นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางโดยเครื่องบิน สามารถไปได้โดยลงที่สนามบินจังหวัดอุดรธานี จากนั้นต่อรถเข้าจังหวัดหนองคายอีก 51 กิโลเมตร สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับตารางการบินได้ที่ บมจ.การบินไทย โทร. 1566,0 2628 2000 , 0 2356 1111 www.thaiairways.com หรือ สายการบิน ไทยแอร์เอเชีย โทร. 0 2515 9999 http://www.airasia.com/
การคมนาคมภายในตัวจังหวัด จ.หนองคาย
นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการรถเช่าของบริษัทนำเที่ยวซึ่งมีมากมายในตัวเมือง หรืออาจใช้บริการรถสามล้อเครื่องที่เรียกกันว่า สกายแล็ป ไปยังจุดท่องเที่ยวต่าง ๆ ในตัวเมืองและใกล้เคียง เช่น ตลาดท่าเสด็จ วัดโพธิ์ชัย ศาลาแก้วกู่ และสะพานมิตรภาพไทย-ลาว จากสถานีขนส่งหนองคายมีรถโดยสารสายหนองคาย-เลย วิ่งผ่านอำเภอท่าบ่อ ศรีเชียงใหม่ สังคม และอำเภอเชียงคานของจังหวัดเลย ซึ่งเป็นเส้นทางเลียบแม่น้ำโขง ในอำเภอเหล่านี้จะมีที่พักแบบเกสต์เฮ้าส์สำหรับบริการนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังมีรถโดยสารวิ่งระหว่างหนองคาย-นครพนม ด้วย
การเดินทางจากอำเภอเมืองหนองคายไปยังอำเภอต่าง ๆ
อำเภอ -กิโลเมตรอำเภอสระใคร 26 กิโลเมตรอำเภอท่าบ่อ 42 กิโลเมตร อำเภอบุ่งคล้า 181 กิโลเมตร อำเภอโพนพิสัย 45 กิโลเมตร อำเภอศรีเชียงใหม่ 57 กิโลเมตรอำเภอรัตนวาปี 71 กิโลเมตร อำเภอเฝ้าไร่ 71 กิโลเมตร อำเภอโพธิ์ตาก 77 กิโลเมตรอำเภอปากคาด 90 กิโลเมตรอำเภอสังคม 95 กิโลเมตร อำเภอโซ่พิสัย 90 กิโลเมตรอำเภอบึงกาฬ 136 กิโลเมตรอำเภอศรีวิไล 163 กิโลเมตร อำเภอพรเจริญ 182 กิโลเมตรอำเภอเซกา 228 กิโลเมตร อำเภอบึงโขงหลง 238 กิโลเมตร
การเดินทางจากหนองคายไปยังจังหวัดใกล้เคียง
นอกจากรถโดยสารสายหนองคาย-กรุงเทพฯแล้ว จากสถานีขนส่งหนองคายยังมีบริการรถโดยสารสายหนองคาย-ระยอง (มีทั้งรถปรับอากาศและธรรมดา) รถธรรมดาสายหนองคาย-เลย และหนองคาย-อุดรธานี ติดต่อสถานีขนส่งหนองคายโทร. 0 4241 1612
ส่วนรถไฟมีรถออกจากสถานีหนองคายไปยังอุดรธานี ขอนแก่น และกรุงเทพฯ วันละประมาณ 3 เที่ยว ติดต่อสถานีรถไฟหนองคาย โทร. 0 4241 1592
ระยะทางจากหนองคายไปจังหวัดใกล้เคียงมีดังนี้
อุดรธานี 51 กิโลเมตรเลย 202 กิโลเมตรสกลนคร 210 กิโลเมตร นครพนม 303 กิโลเมตร
หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ ศูนย์ข้อมูลข่าวสารท่องเที่ยว
- ททท. โทร. 0 4242 1326(อยู่ภายในบริเวณศูนย์ราชการ จ.หนองคาย)
-สถานีตำรวจภูธร โทร. 0 4241 1021, 0 4241 1071
-โรงพยาบาลหนองคาย
-โทร. 0 4241 3456-8โรงพยาบาลหนองคาย-วัฒนา
-โทร. 0 4246 5201สถานีขนส่ง บ.ข.ส.
-โทร. 0 4241 1612ประชาสัมพันธ์จังหวัด
-โทร. 0 4241 2110สำนักงานจังหวัด
-โทร. 0 4241 1778ด่านศุลกากร
- โทร. 0 4241 1518, 0 4242 1207กองกำกับการตรวจคนเข้าเมือง
-โทร. 0 4241 1605สถานีรถไฟหนองคาย โทร. 0 4241 1637 , 0 4241 1592
วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
"ถนนคนเดินที่เชียงใหม่"
“ถนนคนเดิน” หรือ (Walking Street) เป็นหนึ่งในแนวคิดการพัฒนาเมืองและการกำหนดใช้พื้นที่เมืองให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตชุมชน ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาและการใช้ประโยชน์พื้นที่ในเมืองซึ่งหลายประเทศได้ดำเนินการ และ “ถนนคนเดิน” ในหลายประเทศก็ได้กลายเป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งรวมงานศิลปะ แหล่งรวมศิลปิน สถานที่ที่ศิลปินอิสระจะได้ใช้เป็นเวทีในการแสดงออกทั้งงานดนตรี วรรณศิลป์ จิตรกรรม ฯลฯ ตลอดจนเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติจะต้องแวะมาเยี่ยมเยือน..
ข้อมูลการเดินทาง
รถยนต์ จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 32 (สายเอเซีย) ผ่านอยุธยา อ่างทอง นครสวรรค์ หลังจากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 117 ไปยังพิษณุโลก ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 11 ผ่านลำปาง ลำพูน ถึงเชียงใหม่ ระยะทางประมาณ 695 กิโลเมตร อีกทางหนึ่งคือจากนครสวรรค์ ไปตามทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านกำแพงเพชร ตาก และลำปาง ถึงเชียงใหม่ ระยะทางประมาณ 696
รถไฟ มีรถด่วน และรถเร็ว ออกจากสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ทุกวัน สอบถามรายละเอียดได้ที่หน่วยบริการเดินทาง การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 0 2223 7010, 0 2223 7020, 1690 สถานีรถไฟเชียงใหม่ โทร. 0 5324 2094 และ www.railway.co.th นอกจากนี้ ขบวนรถไฟ Orient-Express มีบริการเส้นทาง กรุงเทพ-เชียงใหม่ เป็นครั้งคราว สามารถสอบถามรายละเอียดและสำรองที่นั่งได้ที่ บริษัท ซีทัวร์ จำกัด โทร. 0 2216 5783 หรือที่ www.orient-express.com
รถโดยสารประจำทาง มีรถประจำทางปรับอากาศสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ออกจากสถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต 2) ถนนกำแพงเพชร 2 ทุกวันๆละหลายเที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่ บริษัท ขนส่ง จำกัด โทร. 0 2936 2852 – 66 และที่เชียงใหม่ โทร. 0 5324 1449, 0 5324 2664 หรือดูใน www.transport.co.th บริษัทอื่นที่มีบริการเดินรถ กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ได้แก่ ทันจิตต์ทัวร์ โทร. 0 2936 3210, นครชัยแอร์ โทร. 0 2936 3901, 0 2936 3355 นิววิริยะยานยนต์ทัวร์ โทร. 0 2936 2207, สมบัติทัวร์ โทร. 0 2936 3355, สหชาญทัวร์ โทร. 0 2936 2762, สยามเฟิสท์ทัวร์ โทร. 0 2954 3601-7
เครื่องบิน - การบินไทย บริการเที่ยวบินประจำระหว่างกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ทุกวัน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง สำรองที่นั่ง โทร. 0 2280 0060, 0 2628 2000, 0 2356 1111 สอบถามรายละเอียด โทร. 1566 สำนักงานเชียงใหม่ โทร. 0 5321 0043-4 และ www.thaiairways.com - สายการบิน บางกอกแอร์เวย์ บริการเที่ยวบิน กรุงเทพฯ-สุโขทัย-เชียงใหม่ โทร. 0 2265 5555, 0 2265 5678 และ www.bangkokair.com - สายการบินนกแอร์ เปิดบริการเที่ยวบินกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และ เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน ทุกวัน และ กรุงเทพ-เลย-อุดรธานี-เชียงใหม่ ทุกวันศุกร์และวันอาทิตย์ รายละเอียดสอบถามศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 1318 หรือ www.nokair.com - สายการบิน ไทยแอร์เอเชีย มีบริการเที่ยวบินระหว่าง กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ สอบถามรายละเอียด โทร.0 2515 9999 หรือ www.airasia.com - สายการบิน เอส จี เอ มีบริการเที่ยวบิน เชียงใหม่ - เชียงราย, เชียงใหม่ - ปาย และ เชียงใหม่ - แพร่ โทร. 0 2664 6099 เว็บไซต์ www.sga.co.th
ท่ารถถนนช้างเผือกมีรถโดยสารประจำทางไปยังอำเภอต่างๆ ในเชียงใหม่
การเดินทางจากอำเภอเมืองเชียงใหม่ไปยังอำเภอต่าง ๆ
-อำเภอเมือง กิโลเมตร
- อำเภอแม่ริม 8 กิโลเมตร
- อำเภอสารภ 10 กิโลเมตร
- อำเภอสันทราย 12 กิโลเมตร
- อำเภอสันกำแพง 13 กิโลเมตร
-อำเภอหางดง 15 กิโลเมตร
- อำเภอดอยสะเก็ด 18 กิโลเมตร
- อำเภอสันป่าตอง 22 กิโลเมตร
- อำเภอแม่ออน 29 กิโลเมตร
-อำเภอดอยหล่อ 34 กิโลเมตร
- อำเภอแม่วาง 35 กิโลเมตร
- อำเภอแม่แตง 40 กิโลเมตร
-อำเภอสะเมิง 54 กิโลเมตร
- อำเภอจอมทอง 58 กิโลเมตร
- อำเภอเชียงดาว 68 กิโลเมตร
-อำเภอฮอด 88 กิโลเมตร
-อำเภอพร้าว 103 กิโลเมตร
- อำเภอดอยเต่า 121 กิโลเมตร
- อำเภอไชยปราการ 131 กิโลเมตร
-อำเภอเวียงแหง 150 กิโลเมตร
-อำเภอฝาง 154 กิโลเมตร
-อำเภอแม่แจ่ม 156 กิโลเมตร
-อำเภอแม่อาย 174 กิโลเมตร
- อำเภออมก๋อย 179 กิโลเมตร
ที่มา : http://thai.tourismthailand.org/destination-guide/chiangmai-50-589-1.html
"ท่องเที่ยวแบบธรรมชาติที่เขาใหญ่"
ประวัติความเป็นมา
เมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้ว ราษฎรบ้านท่าด่านและบ้านท่าชัย จังหวัดนครนายก ได้บุกรุกถางป่าปลูกพริกปลูกข้าวบนเขาใหญ่ และจับจองพื้นที่สร้างบ้านเรือนอาศัยอยู่บนเขาใหญ่ ประมาณ 30 หลังคาเรือน ต่อมาได้พัฒนายกฐานะเป็นตำบลเขาใหญ่ ขึ้นอยู่กับอำเภอปากพลี ทำให้เกิดการบุกรุกทำลายป่าทำไร่เลื่อนลอยเพิ่มขึ้นเรื่อย ต่อมากลายเป็นที่หลบซ่อนพักพิงของโจรผู้ร้าย และผู้ต้องหาที่หลบหนีคดีอาญาอยู่เนืองๆ เพราะการคมนาคมยากลำบากห่างไกลแหล่งชุมชนอื่นๆ ยากแก่การตรวจปราบปราม ด้วยเหตุนี้ทางราชการในสมัยนั้นจึงยุบตำบลเขาใหญ่ และให้ราษฎรที่อาศัยอยู่บนเขาใหญ่อพยพลงสู่ที่ราบ หมู่บ้านและไร่ที่ทำกินบริเวณป่าเขาใหญ่จึงถูกทิ้งร้างกลายสภาพเป็นทุ่งหญ้าคาสลับกับป่าที่อุดมสมบูรณ์
ในปี พ.ศ. 2502 ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปตรวจราชการทางภาคเหนือ เล็งเห็นถึงความสำคัญที่จะคุ้มครองรักษาธรรมชาติโดยเฉพาะป่าไม้ จึงได้ให้กระทรวงเกษตร และกระทรวงมหาดไทย ร่วมมือและประสานงานกันเพื่อจัดตั้งอุทยานแห่งชาติขึ้นในประเทศไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติการการประชุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2502 ให้กำหนดป่าเขาใหญ่ จังหวัดนครนายก จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดสระบุรี และป่าอื่นๆ ในท้องที่จังหวัดต่างๆ รวม 14 ป่า เป็นอุทยานแห่งชาติ จากนั้นกรมป่าไม้ได้เริ่มเตรียมการและวางแผนการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติขึ้น โดยได้รับความร่วมมือและช่วยเหลือจาก DR.GORE C.RUHLE ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอุทยานแห่งชาติของสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN) จากประเทศสหรัฐอเมริกา
เมื่อกรมป่าไม้ได้ดำเนินการสำรวจและวางแผนสำเร็จลงแล้ว จึงดำเนินการประกาศจัดตั้ง อุทยานแห่งชาติ โดยได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณ ที่ดินป่าเขาใหญ่ในท้องที่ตำบลป่าขะ ตำบลบ้านพร้าว อำเภอบ้านนา ตำบลหนองแสง ตำบลนาหินลาด อำเภอปากพลี ตำบลสาริกา ตำบลหินตั้ง ตำบลพรหมณีอำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก ตำบลประจันตคาม อำเภอประจันตคาม ตำบลสัมพันตา ตำบลทุ่งโพธิ์ อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ตำบลหมูสี อำเภอปากช่องจังหวัดนครราชสีมา และตำบลหมวกเหล็ก ตำบลชำผักแพว อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ซึ่งลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 79ตอนที่ 86 ลงวันที่ 18 กันยายน 2505 รวมเนื้อที่ 1,355,468.75 ไร่ หรือ 2,168.75 ตาราง กิโลเมตร นับเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกของประเทศไทยและได้รับสมญานามว่าเป็น “ อุทยานมรดกของกลุ่มประเทศอาเซียน ” ตลอดจนเป็นที่ยอมรับทั่วไปว่าเป็นอุทยานแห่งชาติที่สำคัญของโลก
ต่อมากองทัพอากาศได้มีหนังสือ ที่ กษ 0379/15739 ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2519 ถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอกันพื้นที่ก่อสร้างสถานีเรดาร์และสถานีถ่ายทดโทรคมนาคม ออกจากพื้นที่ อุทยานแห่งชาติ ซึ่งคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ได้มีมติในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2520 ลงวันที่ 3 กุมภาพันธ ์2520 เห็นชอบให้กันพื้นที่ส่วนดังกล่าวได้ โดยได้มีพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าเขาใหญ่บางส่วน ในท้องที่ตำบลหินตั้ง อำเภอเมืองนครนายกจังหวัดนครนายก ซึ่งลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 95 ตอนที่ 99 ลงวันที่ 21 กันยายน 2521 เป็นเนื้อที่ประมาณ 71 ไร่ 3 งาน 16 ตารางวา หรือ 0.1149 ตารางกิโลเมตร
กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอใช้พื้นที่บางส่วนในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ในท้องที่อำเภอปากพลี และอำเภอเมือง จังหวัดนครนายกเนื้อที่ 1,925 ไร่ 1 งาน 73 ตารางวา หรือ 3.807 ตารางกิโลเมตร เพื่อก่อสร้างโครงการเขื่อนคลองท่าด่านอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อประโยชน์ในการจัดแหล่งเก็บกักน้ำใช้เพื่อการอุปโภคและบริโภค ตลอดจนการเพาะปลูกร่วมทั้งช่วยบรรเทาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในเขตจังหวัดนครนายก เป็นประจำทุกปี คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ทำการก่อสร้างโครงการเขื่อนคลองท่าด่านอันเนื่องจากพระราชดำริ กรมป่าไม้ จึงได้มี พระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติ ป่าเขาใหญ่บางส่วนในท้องที่ตำบลหินลาดอำเภอปากพลี และตำบลหินตั้ง อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 119ก ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2542
พืชพรรณและสัตว์ป่า
สภาพป่าในเขตอุทยานแห่งชาติแบ่งออกๆ ได้เป็น ป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบแล้ง ป่าดงดิบชื้น ป่าดิบเขา ทุ้งหญ้า และป่ารุ่นหรือป่าเหล่าซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ป่าเบญจพรรณ ลักษณะของป่าชนิดนี้อยู่ทางด้านทิศเหนือซึ่งมีระดับความสูงระหว่าง 200-600 เมตร จากระดับน้ำทะเลประกอบด้วยไม้ยืนต้นประเภทผลัดใบ เช่นมะค่าโมง ประดู่ ตะแบก ตะเคียนหนู แดง นนทรี ช้อ ปออีเก้ง สมอพิเภก ตะคล้ำ เป็นต้น พืชชั้นล่างมีไม้ไผ่และหญ้าต่างๆ รวมทั้งกล้วยไม้ด้วย ในฤดูแล้งป่าชนิดนี้จะมีไฟลุกลามเสมอ และตามพื้นป่าจะมีหินปูนผุดขึ้นอยู่ทั่วๆ ไป
ป่าดงดิบแล้ง ลักษณะของป่าชนิดนี้อยู่ทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นที่ราบลูกเนินในระดับความสูง 200-600 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ไม้ชั้นบนได้แก่ ยางนา พันจำเคี่ยมคะนอง ตะเคียนทอง ตะเคียน หิน ตะแบก สมพง สองสลึง มะค่าโมง ปออีเก้ง สะตอ ๙ก และคอแลน เป็นต้น ไม้ยืนต้นชั้นรองมี กะเบากลัก หลวงขี้อาย และกัดลิ้นเป็นต้น พืชจำพวกปาล์ม เช่น หมากลิง และ ลานพืชชั้นล่างประกอบด้วยพืชจำพวกมะพร้าว นกคุ้ม พวกขิง ข่า กล้วยป่าและเตย เป็นต้น
ป่าดงดิบชื้น ลักษณะป่าชนิดนี้เป็นป่าที่อยู่ในระดับความสูง 400-1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง จะมีชนิดไม้คล้ายคลึงกับป่าดงดิบแล้ง แต่จะมีไม้วงศ์ยางขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ยางกล่อง ยางขน ยางเสี้ยน และกระบาก บริเวณริมลำธารมักจะมีไผ่ลำใหญ่ๆ คือ ไผ่ลำมะลอกขึ้นอยู่เป็นกลุ่ม ป่าดิบชื้นบนที่สูงขึ้นไปจะมียางปายและยางควนนอกจากไม้ยางแล้วไม้ชั้นบนชนิดอื่นๆ ยังมี เคี่ยมคะนอง ปรก บรมือ จำปีป่า พะดง และทะโล้ ไม้ชั้นรอง ได้แก่ ก่อน้ำ ก่อรัก ก่อด่าง และก่อเดือย ขึ้นปะปนกัน
ป่าดิบเขา ป่าชนิดนี้เกิดอยู่ในที่ที่มีอากาศเย็นบนภูเขาสูง ที่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 เมตรขึ้นไป สภาพป่าแตกต่างไปจากป่าดงดิบชื้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีไม้วงศ์ยางขึ้นอยู่ขึ้นอยู่เลย พรรณไม้ที่พบเป็นไม้เนื้ออ่อน เช่น พญาไม้ มะขามป้อมดง ขุนไม้ ละสนนามพันปี และก่อชนิดต่างๆ ที่พบขึ้นในป่าดงดิบชื้น นอกจากก่อน้ำและก่อต่าง ๆ ความสูงจากระดับน้ำทะเล 600-900 เมตรเท่านั้น ตามเขาสูงจะพบต้นกำลังเสือโคร่งขึ้นกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ไม้ชั้นรอง ได้แก่ เก็ดส้าน ส้มแปะ แกนมอเพลาจังหัน และหว้า พืชชั้นล่าง ได้แก่ ต้างผา กำหลังกาสาตัวผู้ กูด และกล้วยไม้ดิน
ทุ่งหญ้าและป่ารุ่นหรือป่าเหล่า ลักษณะป่าชนิดนี้เป็นผลเสียเนื่องจากการทำไร่ เลื่อนลอยในอดีตก่อนมีการจัดตั้งเขาใหญ่เป็นอุทยานแห่งชาติได้มีราษฎรอาศัยอยู่และได้แผ้วถางป่าทำไร่ เมื่อมีการอพยพราษฎรลงไปสู่ที่ราบ บริเวณไร่ดังกล่าวถูกปล่อยทิ้งต่อมามีสภาพเป็นทุ่งหญ้าคา เสียส่วนใหญ่ บางแห่งมีหญ้าแขมหญ้าขนตาช้าง เลา และตอกง และยังมีกุดชนิดต่างๆ ขึ้นปะปนอยู่ด้วย เช่น โชนใหญ่ กูดปี้ด โชนผี กูดงอดแงด และกูดตีนกวาง
เนื่องจากในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่การป้องกันไฟป่าเป็นอย่างดี พื้นที่ป่าหญ้ามีการป้องกันไฟป่าเป็นอย่างดี พื้นที่ป่าหญ้าหรือป่าเหล่านี้จึงไม่ถูกรบกวนจากไฟป่าเลย ดังนั้นจึงมีพันธุ์ไม้เบิกนำจำนวนไม่น้อย แพร่พันธุ์กระจัดกระจายทั่วไป เช่น สอยดาว บรมือ ลำพูนป่า เลี่ยน ปอหู ตองแตบ ฯลฯ ปัจจุบันพื้นที่ป่าทุ้งหญ้าบางแห่งได้กลับฟื้นคืนสภาพเป็นป่าละเมาะบ้างแล้ว
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นแหล่งที่มีสัตว์ป่าชุกชุมมาก ในบางโอกาสขณะขับรถยนต์ไป ตามถนน จะสามารถเห็นสัตว์ป่าเดินผ่านหรือออกหากินตามทุ่งหญ้า หรืออาจจะเห็นโขลงช้างออกหากินริมถนน บริเวณตั้งแต่ที่ชมทิวทัศน์กิโลเมตรที่ 30 จนถึงปากทางข้ามสะพานหนองผักชี ตลอดจนโป่งต้นไทร ในปัจจุบันถ้าขับรถยนต์ขึ้นเขาใหญ่ทางด่านตรวจเนินหอมข้ามสะพานคลองสามสิบไปแล้ว สามารถเห็นโขลาช้างได้เหมือนกัน โดยเฉพาะในตอนกลางคืน จากการศึกษาตามโครงการการอนุรักษ์ช้างป่าและการจัดการพื้นที่ป้องกัน( EELEPHANT CONSERVATION AND PROTECTED AREA MANAGEMENT )โดย MR.ROBERT J. DOBIAS ภายใต้ความร่วมมือของ WWF และ IUCN ในปี พ.ศ.2527-2528 พบว่ามีจำนวนประมาณ 250 เชือก
แหล่งท่องเที่ยวและจุดเด่นที่น่าสนใจ
เมื่อเดินทางไปถึงอุทยาแห่งชาติเขาใหญ่ ควรติดต่อสอบถามรายละเอียดข้อมูล ชมนิทรรศการ เป็นทางเตรียมพร้อมสำหรับการวางแผน เดินทางท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ นับว่าเป็นแหล่งกำเนิดของต้นน้ำลำธารที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่สำคัญนั้นก็คือน้ำตกที่สวยงาม มีน้ำตกน้อยใหญ่เกิดขึ้น หลายแห่งในพื้นที่อุทบยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งสำรวจพบและทำเส้นทางเดินเท้าไปถึงแล้วประมาณ 30 แห่งที่มีความสวยงามแตกต่างกันไป ตามสภาพธรรมชาติของภูมิประเทศ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมที่น่าสนใจ ดังนี้
น้ำตกสาริกา เป็นน้ำตกขนาดใหญ่อยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดนครนายก โดยใช้ทางหลวงจังหวัด หมายเลข 3099 จากจังหวัดนครนายก ถึงบริเวณกิโลเมตรที่ 11 มีทางแยก ให้ตรงไปตามทางหลวงจังหวัดหมายเลข 304 อีกประมาณ 3 กิโลเมตร ก็จะถึงน้ำตกสาริกา น้ำตกสาลิกาไหลตกมาจากหน้าผาสูงชันประมาณ 100 เมตร มีแอ่งน้ำให้เล่นได้ตั้งแต่น้ำตกชั้นล่าง เป็นต้นไป
น้ำตกนางรอง อยู่ถัดจากทางแยกเข้าน้ำตกสาลิกาไปตามทางหลวงจังหวัดหมายเลข 304 จนถึงทางเข้าน้ำตก แล้วเดินเลียบห้วยนางรองไปอีก 250 เมตร จะมีสะพานข้ามห้วยไปถึงน้ำตกซึ่งไหลหลั่นลงมาตามโขดหินเป็นทางยาวประมาณ 100 เมตร น้ำตกนางรองแต่ละชั้นไม่สูงมากนัก แต่กระแสน้ำไหลแรง
น้ำตกกองแก้ว เป็นน้ำตกเตี้ย ๆ ที่เกิดจากห้วยลำตะคอง ในฤดูฝนจะดูสวยงามมากเหมาะสมสำหรับการเล่นน้ำ ใกล้บริเวณน้ำตกจะมีสะพานแขวนข้ามลำห้วยถึง 2 สะพาน ห้วยลำตะคอง เป็นแนวแบ่งเขต 2 จังหวัด คือ จังหวัดนครนายก และจังหวัดนครราชสีมา น้ำตกแหล่งนี้อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเขาใหญ่ ประมาณ 100 เมตร
น้ำตกผากล้วยไม้ เป็นน้ำตกขนาดกลางที่อยู่ในห้วยลำตะคองเช่นเดียวกัน ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเขาใหญ่ ประมาณ 7 กิโลเมตร สามารถเข้าถึงได้โดยทางรถยนต์และทางเดินเท้า ทางเดินเริ่มจากจุดกางเต็นท์ผากล้วยไม้ไปประมร 1.2 กิโลเมตร โดยเดินเลียบตามห้วยลำตะคองที่เต็มไป ด้วยพันธุ์ไม้ใหญ่ร่มครึ้ม มีโอกาสพบนกหลายชนิด เช่น นกกางเขนน้ำหลังเทา นกกระรางคอดำ นกปรอดโอ่งเมืองเหนือ ฯลฯ
น้ำตกผากกล้วยไม้ มีลักษณะเป็นหน้าผาลดหลั่นกันลงมา สูงประมาร 10 เมตร ด้านล่างเป็นแอ่งน้ำกว้างมาก เหมาะสมสำหรับเล่นน้ำ ตามหน้าผาและคบไม้บริเวณน้ำตก พบกล้วยไม้นานาชนิดขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก
กล้วยไม้ที่โดดเด่นที่สุด คือ หวายแดง ที่จะออกดอกสีแดงเป็นช่อยาวในช่วงหน้าร้อน
น้ำตกเหวสุวัต เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงมากเป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป
น้ำตกเหวสุวัต นี้ อยู่สุด ถนนธนะรัชต์ หรือจะเดินเท้าต่อจากน้ำตกผากกล้วยไม้ไปก็ได้ ประมาณ 3 กิโลเมตร น้ำตกนี้มีลักษณะเป็น สายน้ำตกลงมาจากหน้าผาสูงประมาร 20 เมตรเศษ บริเวณด้านล่างของน้ำตกเป็นแอ่งน้ำและลำธารเหมาะที่จะลงเล่นน้ำ แต่สำรับฤดูฝนน้ำจะมากและไหลแรง น้ำค่อนข้างเย็นจัด
น้ำตกเหวนรก เป็นน้ำตกขนาดใหญ่และสูงที่สุด อยู่ทางทิศใต้ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีทั้งหมด 3 ชั้น ชั้นแรกสูงประมาร 60 เมตร เมื่อน้ำไหลผ่านหน้าผาชั้นนี้จะพุ่งไหลลงสู่หน้าผาชั้นที่ 2 และ 3 ที่อยู่ถัดลงไปใกล้ ๆ กันในลักษณะการไหลตก 90 ? รวมความสูงไม่ต่ำกว่า 150 เมตร เป็นสายน้ำที่ไหลทะลักไปสู่หุบเหวเบื้องล่าง ในฤดูฝนน้ำจะไหลแรงมากจนน่ากลัว ทางเข้าน้ำตกเหวนรกอยู่บริเวณกิโลเมตรที่ 24 บนทางหลวงจังหวัดหมายเลข 3077 จากนั้นต้องเดินเข้าไปอีก 1 กิโลเมตร จึงจะถึงน้ำตก เหวนรกชั้นบนสุดและมีบันไดให้ไต่ลงไปประมาณ 100 เมตร เพื่อชมน้ำตกชั้นล่าง
น้ำตกไม้ปล้อง เป็นน้ำตกที่มีทั้งหมด 5 ชั้น ไหลลดหลั่นกันลงมา ชั้นสูงสุกไม่เกิน 12 เมตร มีลักษณะคล้ายคลึงกับน้ำตกเหวสุวัต จะพบความงามตลอดเส้นทางเดินเท้า ประกอบด้วยโขดหินเล็กใหญ่และลำธาร ที่สวยงาม การเดินทางไปยังน้ำตกแห่งนี้เริ่มต้นที่วังตะไคร้ โดยการเดินทางตาเส้นทางเดินเท้าระยะทางประมาณ 24 กิโลเมตร
น้ำตกวังเหว เป็นน้ำตกขนาดใหญ่มีความกว้างประมาณ 40-60 เมตร ในฤดูฝนมีน้ำมาก และไหลแรง อยู่ห่างจากหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ขญ.9 (ใสใหญ่) ประมาณ 17 กิโลเมตร อยู่ในกลางป่าทางด้านทิศตะวันอกของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ การเดินทางจะต้องใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2 วัน เหมาะสมสำหรับผู้ที่รักการผจญภัยไปพักค้างแรมในป่าเป็นอย่างยิ่ง ตลอดเวลาของการเดินทางจะพบหับพันธุ์ไม้นานาชนิด และแก่งหินที่สวยงามตามธรรมชาติ นับเป็นน้ำตกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง
น้ำตกตะคร้อ น้ำตกสลัดได น้ำตำส้มป่อย เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่สวยงามอยู่ใกล้กับหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ขญ.10 (ประจันตคาม) เหมาะสมสำหรับพักผ่อนเล่นน้ำ
น้ำตกธารทิพย์ เป็นน้ำตกเล็ก ๆ ไหลมาตามลานหินกว้างเป็นทางยาว จากนั้นสายน้ำจะไหลผ่านช่องเขาแคบที่ขนาบข้างก่อนตกลงเป็นน้ำตกสูง 5 เมตร จากน้ำตกธารทิพย์มีทางเดินป่าไปอีกื4 กิโลเมตร ถึง น้ำตก
เหวอีอ่ำ ซึ่งเป็นน้ำตกขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งมีความสูงประมาณ 25 เมตร ผู้สนใจติดต่อเจ้าหน้าที่นำทาง ที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ขญ.10 (ประจันตคาม)
น้ำตกแก่งกฤษณา และน้ำตกเหวจั๊กจั่น เป็นน้ำตกขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่มีความงดงาม ไม่แพ้แห่งอื่นๆ เหมาะสมสำหรับการพักแรมในป่าและชมทิวทัศน์ธรรมชาติรอบกายอย่างเพลิดเพลินใจ
น้ำตกผากกระชาย น้ำตกผาไทร ผาด่านช้าง และน้ำตกผานะนาวยักษ์ เป็นน้ำตกขนาดกลางที่เกิดจากห้วยโกรกเด้ ลักษณะไหลลาดไปตามผาหินที่สูงขึ้น เหมาะสมสำหรับผู้ชอบผจญภัยค้างแรมในป่า อยู่ห่างจากหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ขญ.3(ตะเคียนงาม) ประมาณ 5 กิโลเมตร
น้ำตกเหวไทร เป็นน้ำตกอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ทางใต้ถัดไปจากน้ำตกเหวสุวัต ห่างจากน้ำตกเหวสุวัตมาประมาณ 700 เมตร น้ำตกนี้มีลักษณะเป็นผากว้างเต็มลำห้วย สูงประมาณ 5 เมตรในฤดูฝนน้ำตกนี้จะไหลแรงเต็มหน้าผาสวยงามน่าชมมาก การเดินทางไปน้ำตกเหวไทรไปได้ 2 เส้นทาง คือ เดินเท้าต่อไปจากเหวสุวัตระยะทางประมาณ 700 เมตร หรือจะเดินจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเขาใหญ่ ไปตามเส้นทางเดินเท้าเส้นกองแก้ว-เหวสุวัตก็ได้ ระยะทางประมาณ 8.3 กม. ตามสองข้างทางเดินที่ผ่านไปจะมีสิ่งที่น่าสนใจอย่างอื่นๆ อีกมากมาย เช่น สมุนไพร และเห็ดป่า เป็นต้น
น้ำตกเหวประทุน เป็นน้ำตกที่อยู่ในห้วยลำตะคองอีกแห่งหนึ่งเหมือนกัน อยู่ถัดจากน้ำตกเหวไทรประมาณ 1 กิโลเมตรเศษ สามารถเดินทางจากน้ำตกเหวสุวัตไปก็ได้ หรือจะเดินทางเส้นกองแก้วเหวสุวัต ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร ตามเส้นทางสามารถพบร่องรอยของสัตว์ป่าได้ง่าย เช่น รอยหมูป่า ด่านช้าง น้ำตกนี้มีลักษณะเป็นหน้าผากว้างและสูงสวยวามมาก
น้ำตกตาดตาภู่ น้ำตกนี้อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เกิดจากห้วยระย้าเป็นน้ำตกที่มีลักษณะเป็นโขดหินและลาดหินที่มีน้ำไหลลดหลั่นเป็นทอดลาดเอียงไปข้างล่างประมาณ 100 เมตร เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบพักค้างแรมในป่าระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร ใกล้ๆ น้ำตกจะมีทุ้งหญ้าสลับกับป่าซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารของสัตว์ป่านานาชนิด ที่เห็นประจำ ได้แก่ เก้ง กวางป่า ช้างป่า กระทิง นกนานาชนิด เป็นต้น
น้ำตกตาดตาคง เป็นน้ำตกที่งดงามและสูงอีกแห่งหนึ่ง ที่อยู่ถัดไปจากน้ำตกตาดตาภู่ประมาณ 4 กิโลเมตรเศษ การเดินทางจะเริ่มต้นที่ด้านหลังจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาการจัดการอุทยานแห่งชาติ ก็ได้ ระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร หรือ จะเริ่มที่ กม. 5.5 ถนนเขาใหญ่-ปราจีนบุรีก็ได้ ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร
กลุ่มน้ำตกผาตะแบก น้ำตกกลุ่มนี้เป็นน้ำตกขนาดไม่เล็กมากนัก เกิดบนห้วยน้ำซับลักษณะของน้ำตกเป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันลงไป 5 ชั้น จากปากทางเข้าบนถนนสายเขาใหญ่-ปราจีนบุรี ช่วงระหว่าง กม. 6.5-7 จะมีทางเดินเท้าที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่จัดทำเอาไว้ เดินเข้าไปเพียง 500 เมตร ก็จะถึงน้ำตกแห่งแรก คือ
น้ำตกผากระจาย และเดินต่อไปอีกจะถึงน้ำตกผาหินขวาง น้ำตก ผารากไทร น้ำตกผาชมพู และน้ำตกผาตะแบก รวมระยะทางในการเดินเท้าทั้งสินประมาณ 3 กิโลเมตรเศษ
แก่งหินเพิง เป็นแก่งหินที่มีความยาวและใหญ่ อยู่ห่างจากหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ขญ.9 (ใสใหญ่๗ ประมาณ 3 กิโลเมตร แม่น้ำใสใหญ่ในบริเวณนี้เต็มไปด้วยแก่งหินเรียงรายตลอดระยะทาง 2.5 กิโลเมตร สายน้ำไหลลดหลั่นกันคล้ายขั้นบันได เป็นสถานที่ที่เหมาะในการล่องแก่งด้วยเรือยาง
จุดชมทิวทัศน์
จุดชมทิวทัศน์ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ที่เด่นๆ มีด้วยกัน 3 จุดดังนี้
• จุดชมทิวทัศน์กิโลเมตรที่ 30 ถนนธนะรัชต์ สามารถชมทิวทัศน์ด้านทิศเหนือของอุทยานแห่งชาติ เขาใหญ่ได้เป็นบริเวณกว้างและสวยงาม
• จุดชมทิวทัศน์กิโลเมตรที่ 18 ถนนปราจีนบุรี-เขาใหญ่ เบื้องหลังคือเขาสมอปูน ในมุมที่สูงตระหง่าน เบื้องหน้าคือที่ราบด้านปราจีนบุรี
• จุดชมทิวทัศน์เขาเขียว (ผาเดียวดาย) นับเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงามน่าชม มีลักษณะคล้ายผานกเค้าที่ภูกระดึง จะมองเห็นภูเขาร่มขวางอยู่เป็นแนวยาวและทิวทัศน์ที่สวยงามด้านจังหวัดปราจีนบุรี ตอนเช้าตรู่จะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นยามเช้าเป็นดวงกลมสีแดงเหนือสันเขาร่มที่สวยงาม เส้นทางถึงยอดเขาเขียวมีระยะประมาณ 14 กิโลเมตร ช่วงกิโลเมตรที่ 9 มีเส้นทางลงสู่จุดชมทิวทัศน์ผาเดียวดาย ผ่านป่าดิบเขาที่ชุ่มชื้นและอากาศเย็นตลอดปีตามต้นไม้และโขดหินมีมอสและตะไคร่ขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วไป บริเวณนี้ จะพบนกบนที่สูงหลายชนิด เช่น นกปรอดดำ นกเปล้าหางพลั่ว นกแซงแซวทางบ่วงเล็ก เป็นต้น
หอดูสัตว์
เป็นสถานที่จัดทำขึ้นสำหรับการซุ่มดูสัตว์ป่า ผู้ที่สนใจสามารถเข้าใช้ประโยชน์ได้ตั้งแต่เวลา 06.00- 18.00 น. จำนวน 2 แห่ง ได้แก่
• หอดูสัตว์หนองผักชี อยู่บริเวณหนองผักชี ซึ่งเป็นแหล่งน้ำของสัตว์ป่ารอบๆ หนองน้ำ เป็นทุ่งหญ้าคากว้างใหญ่ มีโป่งสัตว์ ปากทางเข้าอยู่บริเวณ กม. 35-36 ถนนธนะรัชต์ เดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร
• หอดูสัตว์มอสิงโต อยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำมอสิงโต รอบๆ มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าโล่งที่เหมาะสมสำหรับซุ่มดูสัตว์ป่าที่มากินดินโป่ง ซึ่งเป็นดินที่มีแร่ธาตุสำคัญของสัตว์กินพืช อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเขาใหญ่ประมาณ 500 เมตร
นอกจากนี้ในบริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ขญ.4 (คลองปลากั้ง) ยังได้จัดให้มีหอดูสัตว์ชมกระทิง โดยอยู่ห่างจากหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติประมาณ 2 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในทุ่งหญ้า ติดชายป่า เชิงสันเขากำแพงมีทิวทัศน์สวยงามมาก ในเวลาเย็นจะมีฝูงกระทิงออกหากินบริเวณใกล้ๆ สามารถชมจากหอดูสัตว์นี้ได้ชัดเจน
การเดินทาง
การเดินทางสู่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่นับว่าสะดวกสบาย เพราะมีระบบการคมนาคมอย่างดีติดต่อกับชุมชนอื่น ๆ อย่างทั่วถึง สามารถเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวจากกรุงเทพฯอาจใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมง หรือน้อยกว่าโดยเริ่มจาก
• ถนนพหลโยธินผ่านรังสิตถึงสระบุรี เลี้ยวขวาเข้าถนนมิตรภาพผ่านมวกเหล็กและเลี้ยวขวาอีกครั้งหนึ่งตรงทางแยกก่อนถึงอำเภอปากช่องตรงกิโลเมตรที่ 58 เข้าสู่หลวง จังหวัดหมายเลข 2090 (ถนนธนะรัชต์) ประมาณ 25 กิโลเมตร ถึงด่านตรวจ จากนั้นเส้นทางจะไต่ขึ้นเขาไปอีก 12 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานแงชาติ รยางค์รวมทั้งสิ้น 200 กิโลเมตร
• ถนนพหลโยธินผ่านรังสิต ผ่านหนองแค 305 แล้วเปลี่ยนไปใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 33 (ถนนสุวรรณศร) ผ่านตัวเมืองนครนายกถึงสี่แยกเนินหอม หรือวงเวียนนเรศวรก่อนเข้าตัวเมืองปราจีนบุรีเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวง จังหวัดหมายเลข 3077 (ถนนปราจีนบุรี – เขาใหญ่) ถึงด่านตรวจเนินหอม ถนนเริ่มเข้าสู่ป่าและไต่ขึ้นที่สูง รวมระยะทางประมาร 160 กิโลเมตร
• ถนนพหลโยธิน เลี้ยวขวาบริเวณรังสิตเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 305 มุ่งสู่ตัวเมืองนครนายก แล้วเปลี่ยนไปใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 33 (ถนนสุวรรณศร)ถึงสี่แยกเนินหอมหรือวงเวียนนเรศวร รวมระยะทางประมาณ 160 กิโลเมตร
หรืออาจเดินทางโดยรถประจำทางสายตะวันออกเฉียงเหนือลงที่อำเภอปากช่อง จะมีรถบริการขึ้นเขาใหญ่ออกจากปากช่องในวันธรรมดันละ 2 เที่ยว คือ 12.00 น. และเวลา 17.00 น. หรืออาจจะจ้างเหมารถบรรทุกเล็กรับจ้างขึ้นเขาใหญ่ก็ได้ ด่านตรวจทั้งสองด้านของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่จะเปิดเวลา 6.00น. ถึง 21.00 น
"ตลาดน้ำดอนหวาย"
ตลาดน้ำดอนหวายตลาดน้ำดอนหวาย
ชื่อนี้หลายคนคงรู้จัก โดยเฉพาะผู้ที่เคยลิ้มลองเป็ดพะโล้นายหนับที่ขึ้นชื่อ และถือว่าเป็นพระเอกของตลาดน้ำดอนหวายที่ทำให้ใครต่อใครต้องเดินทางมาชิม จากที่เคยขายกันวันละไม่กี่ตัว ก็กลายมาขายวันละนับร้อยๆตัวในปัจจุบันเมื่อราว 7- 8 ปีก่อน หรือราว พ.ศ 2542 - 43 หากใครได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองก็คงจะเห็นการเริ่มต้นความนิยมของตลาดน้ำดอนหวายได้อย่างชัดเจน ว่ามาจากสื่อโทรทัศน์ที่มีโอกาสไปทำรายการและแนะนำรายการอาหารเมนูอร่อยของตลาดดอนหวาย ีหลังจากที่ออกอากาศไปไม่นาน ก็ยังมีรายการอื่นๆตามมาทำรายการกันไม่ขาดสาย จนตลาดน้ำดอนหวายเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ โดยที่ทางจังหวัดไม่ต้องออกแรงประชาสัมพันธ์แต่อย่างใดจากจุดเริ่มต้นที่มีสื่อไปทำรายการสารคดีเชิงนิเวศน์ในช่วงนั้น ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศกำลังฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ หลังจากประสบกับมรสุม ที่เรียกว่า IMF ทำให้สังคมไทยหันมานิยมดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย และใช้จ่ายอย่างประหยัด
ตลาดวิถีไทย
ตลาดน้ำดอนหวาย ซึ่งเป็นตลาดอาหารไทย และขนมไทยแบบดั่งเดิมได้เข้ามาในช่วงจังหวะนั้นพอดี จึงได้กับการตอบรับจากผู้คนอย่างรวดเร็ว จนเรียกได้ว่าดังเป็นพลุแตก คนที่มาเที่ยวต่างติดใจในรสชาติอาหารไทยที่มีอยู่หลากหลาย และขนมไทยนานาชนิด พร้อมกับได้อุดหนุนสินค้าเกษตรกรรมของท้องถิ่นในราคาแบบชาวบ้าน ทำให้เกิดกระแสปากต่อปาก หากเปรียบเป็นว่าวก็ถือว่าปัจจุบัน ตลาดน้ำดอนหวายติดลมบนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สามารถพึ่งตัวเองได้อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องให้ใครมาช่วยประชาสัมพันธ์ นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศต่างให้ความสนใจกันมากมายนอกจากได้ลิ้มลองอาหารนานาชนิดและซื้อของฝากที่มีอยู่มากมายแล้ว ก็ยังมีโปรแกรมล่องเรือชมวิวทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำที่ไม่ควรพลาด เพราะจะได้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่อาศัยริมแม่น้ำท่าจีน ปลูกผักบุ้ง และผักที่ขึ้นบนน้ำชนิดต่างๆ เรียกได้ว่าเกือบตลอดระยะทางที่เรือผ่าน เป็นการใช้พื้นที่หน้าบ้านให้เป็นประโยชน์ นั่งเรือผ่านไปก็จะเห็นชาวบ้านพายเรือเก็บ ผักบุ้งเป็นระยะๆ เป็นการปลูกโดยไม่ต้องใส่ปุ๋ยหรือยาฆ่าแมลงใดๆทั้งสิ้นร้อนนี้หากใครกำลังคิดออกไปเที่ยวนอกเมืองที่ไม่ห่างจากกรุงเทพมากนัก และอยากเห็นภาพธรรมชาติที่เย็นตาเย็นใจ พร้อมกับทานอาหารไทยๆแบบดั่งเดิมที่หาทานยากในที่อื่นๆแล้ว ก็อยากแนะนำให้มาที่ตลาดน้ำดอนหวาย แหล่งรวม ของกิน ของฝาก ที่อาจต้องขนใส่รถกันเลยทีเดียว
อาหารแนะนำ
อาหารที่อยากแนะนำที่ตลาดน้ำดอนหวายก็ได้แก่ เป็นพะโล้นายหนับ (เขียนมาถึงตรงนี้แล้วก็น้ำลายไหล) ต้มเค็มปลาทูหรือต้มเค็มปลาตะเพียนที่มีอยู่หลายร้าน ทั้งหัวทั้งก้าง เปื่อยยุ่ยจนทานได้ทั้งตัว นอกจากนี้ก็มีขนมจีนน้ำยากะทิ น้ำยาป่า ห่อหมกปลาช่อนที่อร่อยถึงเครื่องถึงกะทิ และทอดมันปลากรายของแท้ไม่ได้ปนหรือผสมเนื้อปลาชนิดอื่นๆ ส่วนขนมก็มีขนมไทยๆนานาชนิดที่รับประกันความอร่อยเกือบทุกร้าน ชนิดทานกันไม่หวัดไม่ไหว ยังไงก็อย่าชิมจนอิ่มท้องเสียก่อน เพราะจะทำให้ทานข้าวได้น้อยลง
ของฝาก
พวกของฝาก ของซื้อกลับบ้านก็มากมาย เช่นปลาแดดเดียว ปลาแห้ง ปลาย่างชนิดต่างๆ หรือคนที่ชอบเข้าครัวก็จะมีพวกน้ำพริกแกงที่ตำกับมือ พึ่งทำกันใหม่ๆสดๆ เช่นน้ำพริกแกงเผ็ด แกงส้ม ฯลฯ ส่วนของฝากที่เป็นผลไม้ของท้องถิ่น ประเภท มะเฟือง มะไฟ มะพร้าว ส้มโอ ที่นี่มีครบ มะพร้าวน้ำหอมก็ขึ้นชื่อและหอมจริงๆ ส้มโอนครชัยศรีก็อร่อยคุ้นลิ้นมานาน แถมราคาถูกอีกต่างหาก พูดง่ายๆว่าหากมาเที่ยวที่นี่แล้วก็ควรเคลียร์ท้ายรถให้เรียบร้อยก่อนเดินทาง รับประกันว่าตอนขากลับท้ายรถไม่ว่างแน่ล่าสุดที่ไปเที่ยวเมื่อเดือนมกราคม 2550 ปรากฏว่ามีร้านค้ารายอาหารเปิดใหม่กันมากมาย จากที่ขายตามทางเดินเมื่อปี2544 ปัจจุบันได้ขยายไปอีกเป็นระยะทางที่ไกลมาก จนจุดที่จะเข้าตลาดดอนหวายสามารถเข้ามาได้หลายจุด อาจทำให้คนที่เคยมาเที่ยวสับสนได้ ยังไงก็แนะนำว่า พยายามยึดเอาทางเข้าวัดดอนหวายเป็นหลักก็แล้วกัน หากลานจอดรถในวัดเต็มก็ยังมีลานจอดรถของเอกชนรายอื่นๆอีกมากมาย จึงไม่ต้องกังวลเหมือนเมื่อก่อนที่ต้องจอดแอบตามริมทาง และตากแดดกันครึ่งวันค่อนวันสิ่งที่อยากฝากไว้ในตอนท้ายก็คือว่า ตลาดน้ำดอนหวายมีผู้คนมาเที่ยวนับหมื่นๆคนในแต่ละวัน และยิ่งเป็นวันหยุดก็ยิ่งเพิ่มปริมาณมากขึ้นไปอีก จึงควรวางแผนการเดินทางกันให้ดี แต่ถ้าเป็นไปได้แล้วก็ควรหลีกเลี่ยงเดินทางในวันหยุด ตลาดน้ำดอนหวายอยู่ห่างจากวัดไร่ขิงประมาณ 3-4 กม.(คะเนด้วยสายตาขณะขับรถ) และเป็นวัดที่โด่งดังของจังหวัดนครปฐม ที่คนเมืองหลวงรู้จักกันดี หากมีเวลาพออาจแวะทำบุญทำทานเพื่อเป็นศิริมงคลก่อนกลับบ้าน
่
"อัมพวา ตลดน้ำยามเย็น"
ล่องเรือชมหิ่งห้อย
การเดินทาง ทางรถยนต์
จากตัวจังหวัดใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 325 ทางเดียวกับไปอำเภอดำเนินสะดวกและอุทยาน ร.2 ประมาณ 6 กม ก่อนถึงสามแยกไฟแดง มีทางแยกทางซ้ายเข้า อ.อัมพวา ไปอีกประมาณ 800 เมตร. ทางแยกซ้ายมือ เข้าตลาดอัมพวา จอดรถบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภออัมพวา
"นมัสการเจ้าแม่กวนอิม 32 ปาง"
"ตำนานรักแม่นาคพระโขนง"
เขตสวนหลวงวัดโบราณริมคลองพระโขนงแห่งนี้สร้างสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ต่อมาเรียกว่า “วัดมหาบุตร” ตามชื่อพระมหาบุตรผู้นำในการบูรณะวัดขึ้นใหม่ ภายหลังเขียนเป็น “มหาบุศย์” ชาวบ้านทั่วไปนิยมเรียกว่า “วัดแม่นาคพระโขนง” เพราะภายในวัดเป็นที่ตั้งของศาลแม่นาคพระโขนงหรือย่านาค ตำนานผีไทยที่เล่าขานกันมานานนับร้อยปี ปัจจุบันมีผู้คนทางไปกราบไหว้ย่านาคอยู่เป็นประจำ ภายในศาลย่านาคจึงเต็มไปด้วยของไหว้ ทั้งพวงมาลัยและชุดไทยตำนานความเฮี้ยนของผีแม่นาคพระโขนงเกิดขึ้นที่ริมคลองพระโขนง เล่าต่อกันมาว่า ณ ที่นั้นมีเรือนหลังเล็กของแม่นาคกับทิดมาก ในช่วงที่แม่นาคตั้งท้อง บ้านเมืองเกิดศึกสงคราม ทิดมากถูกเรียกไปเป็นทหารเกณฑ์ ส่วนแม่นาคต้องอยู่บ้านตามลำพัง แม่นาคสิ้นใจตายขณะคลอดลูก ด้วยความรักความผูกพัน แม่นาคเฝ้ารอจนทิดมากกลับมาและอยู่กินด้วยกัน ต่อมาเมื่อทิดมากรู้ว่านางนาคเป็นผีตายทั้งกลม จึงตัดสินใจไปอาศัยอยู่ที่วัดมหาบุศย์ ผีนางนาคโกรธมาก จึงได้ออกอาละวาด หลอหหลอนผู้คนให้หวาดกลัว สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) รู้เหตุปีศาจนางนาคกำเริบ จึงลงไปปราบแล้วเจาะเอากระดูกหน้าผากศพนางนาคมาทำหัวปั้นเหน่งคาดเอวติดตัวตลอด ผีนางนาคจึงสงบลงได้นั่งเรือเที่ยวคลองประเวศบุรีรมย์ในคลองประเวศบุรีรมย์มีเรือหางยาววิ่งประจำทางจากท่าเรือพระโขนงถึงตลาดเอี่ยมสมบัติใต้สะพานศรีนครินทร์ (เลยวัดขจรไปไม่ไกล) เรือมีบริการทุกวัน ตั้งแต่เช้า-ค่ำ ถ้าต้องการเหมาเรือก็สามารถทำได้เริ่มต้นเส้นทางจากท่าน้ำพระโขนง ล่องไปตามคลองพระโขนงเข้าคลองประเวศบุรีรมย์ที่เชื่อมต่อกัน ในช่วงแรกของเส้นทางลำคลองจะคดเคี้ยวเพราะคลองพระโขนงเป็นคลองธรรมชาติ จึงไม่ตรงดิ่งเหมือนคลองประเวศบุรีรมย์ซึ่งขุดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ตลอดเส้นทางจะผ่านวัดและมัสยิดหลายแห่ง สำหรับกลุ่มมุสลิมนั้นอพยพมาจากเมืองปัตตานีในสมัยรัชกาลที่ 3 นับเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่ที่สุดในแถบนี้ เส้นทางล่องเรือจะไปสิ้นสุดที่วัดกระทุ่มเสือปลา ที่นี่มีหุ่นขี้ผึ้งพระเกจิชื่อดัง สักการะเพื่อเป็นสิริมงคลแล้วจึงเดินทางกลับ
ที่อยู่ : 749 หมู่ที่ 11 ซ. อ่อนนุช 7 ถ. สุขุมวิท 77 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ 10250โทรศัพท์ : (662) 311-2183, 311-0543
รถประจำทาง : 1013 รถเมล์เล็กปาก ซ. สุขุมวิท 77รถปรับอากาศ : 519ท่าเรือ : เรือโดยสาร: ท่าวัดมหาบุศย์ (คลองประเวศบุรีรมย์-พระโขนง)
เวลาทำการ : บริเวณวัด: ทุกวัน 5.30-17.00 น.โบสถ์: วันธรรมดา 6.30-17.00 น.วันพระ 4.00-17.00 น.ค่าธรรมเนียม ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าธรรมเนียมกิจกรรม เทศกาล : งานประจำปีที่จอดรถ : บริเวณภายในวัดสถานที่ใกล้เคียง : วัดใต้ วัดทองใน วัดยาง สน.บางนา สน.พระโขนงวัด
ถ่ายรูปได้ที่มา : กองการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานคร
"ตำหนักทองพระเจ้าเสือ"
เขตจอมทองวัดไทรเป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา เช่นเดียวกับอีกหลายวัดในย่านนี้วัดไทรได้รับการปฏิสังขรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ตามลำดับ สิ่งมีค่าและควรชมภายในวัดนี้ที่หลายคนมองข้ามไปคือตำหนักทองเรือนไทยเก่าแก่ริมคลองด่านนี้เป็นหลักฐานหนึ่งที่ช่วยยืนยันความเก่าแก่สมัยอยุธยาของวัด เชื่อกันว่าพระเจ้าเสือโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อนเป็นที่ประทับระหว่างเสด็จประพาสทางทะเลผ่านลำคลองสายนี้ ภายหลังทรงอุทิศให้เป็นกุฏิสงฆ์ ลักษณะเป็นเรือนไทยชั้นเดียวขนาด 3 ห้อง ยาว 4 วา 1 ศอก ใต้ถุนสูง มีช่อฟ้ารูปหัวครุฑ ฝาผนังลงรักปิดทองทั้งด้านนอกและด้านใน จึงเรียกว่าตำหนักทอง ปัจจุบันตำหนักทองได้รับการบูรณะจนมีสภาพดี แต่ลายทองนั้นลบเลือนไปมาก
ที่อยู่ : 11 หมู่ 2 ซ.ถาวรวัฒนา ถ.เอกชัย แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กรุงเทพฯ 10150โทรศัพท์ : (662) 415-7173, 415-1926แฟกซ์ : (662) 415-7173
รถประจำทาง :10 43 120รถปรับอากาศ : Mb9ท่าเรือ :1. เรือหางยาวรับจ้าง:ท่าราชินี (ปากคลองตลาด)<->ท่าช้าง2. ท่าสะพานพุทธ ท่าสี่พระยา3. ท่าโอเรียลเต็ล ฯลฯ<->ท่าวัดไทรเวลาทำการ :บริเวณวัด
: ทุกวัน 5.00-20.00 น.โบสถ์ : ทุกวัน 8.00-8.30 น. (เข้าชมโบสถ์ควรโทรแจ้งล่วงหน้า)ค่าธรรมเนียม-ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าธรรมเนียสมกิจกรรม-เทศกาล :เทศกาลสงกรานต์(13เม.ษ.)งานทำบุยอุทิศส่วนกุศลให้ท่านเจ้าอาวาส(20 ต.ค.)ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน : 1962ถ่ายรูปได้ : ภายในอาคารต้องขออนุญาตสถานที่จอดรถ : บริเวณภายในวัดสถานที่ใกล้เคียง : วัดราชโอรสาราม วัดหนัง วัดนางนอง ตลาดน้ำวัดไทร
ที่มา : กองการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานคร
วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552
ย้อนวัยเด็กกับ"ซาฟารีเวิลด์ อาณาจักรแห่งความสุข" ...
ซาฟารีเวิลด์ ธีมปาร์คมาตรฐานโลกหนึ่งเดียวในประเทศไทย บรรยากาศร่มรื่นสวยงาม กว้างใหญ่ในใจกลางกรุงเทพฯ ศูนย์รวมการแสดงยิ่งใหญ่ระดับโลก 7 โชว์ 7 เวที อาทิ โชว์อุรังอุตังชกมวย โชว์สิงโตทะเล โชว์โลมา โชว์นก โชว์สตั้นท์ โชว์สงครามจารกรรม และโชว์ละครสัตว์ ตื่นตาตื่นใจกับล่องเรือจังเกิลครูซ ท่ามกลางป่าดิบอเมซอน บรรยากาศน่าพิศวงนี้ต้องใช้เวลารอคอยนานกว่า 15 ปี และสวนสัตว์เปิด มีสัตว์หายาก ใกล้สูญพันธ์ รวมทั้งสัตว์อนุรักษ์มากกว่า 400 ประเภท จำนวนมากกว่า 4,000 ตัวจากทั่วทุกมุมโลก สัมผัสชีวิตสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ สัตว์ป่าหายากนานาชนิด ใกล้ชิดกับฝูงสัตว์ป่ามากมาย อาทิ ฝูงยีราฟ ม้าลาย กระทิง ควายป่า แรดขาว กวางป่า อิมพาลา และตื่นเต้นกับการแสดงให้อาหารสัตว์ดุร้ายในโซนเสือ สิงโต และหมี ที่คุณไม่ควรพลาด !!! ตลอดระยะเวลากว่า 16 ปี มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมากกว่า 27 ล้านคนมาเที่ยวชมดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้ รวมถึงผู้นำระดับประเทศ บริษัท ห้างร้าน องค์กร มหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษา และโรงเรียนทั่วราชอาณาจักรนับพันแห่งได้มาเยี่ยมชมและทัศนศึกษา ณ ซาฟารีเวิลด์แห่งนี้เป็นประจำตลอดเรื่อยมา ซาฟารีเวิลด์ เปิดบริการทุกวัน วันจันทร์ -ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 9.00-17.30 น. (เปิดรับรถเข้าซาฟารีปาร์คคันสุดท้ายเวลา 16.30 น.) วันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 9.00- 18.00 น. (เปิดรับรถเข้าซาฟารีปาร์คคันสุดท้ายเวลา 17.00 น.) * ละครสัตว์มอสโก งดโชว์ทุกวันจันทร์ ยกเว้น วันจันทร์ที่เป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ * ล่องเรือจังเกิลครูซ เปิดบริการทุกวัน เวลา 10.00-16.30 น.ค่าบัตรผ่านประตูชุด Package สำหรับผู้ใหญ่ราคา 390 บาท และเด็ก (ความสูง 101-140 ซม.) ราคา 290 บาท สำหรับเด็กเล็กความสูงไม่ถึง 100 ซม. เข้าชมฟรี โดยบัตรชุด Package จะสามารถเข้าชมและใช้บริการได้ทุกส่วน ทั้งซาฟารีปาร์ค (สวนสัตว์เปิด - บริษัทฯ มีรถโค้ชปรับอากาศ บริการนำเข้าชมซาฟารีปาร์ค...ฟรี) มารีนปาร์ค ท่านจะได้เพลิดเพลินได้รับชมการแสดงทุกชุด (ชมโชว์ยิ่งใหญ่ถึง 7 โชว์ 7 เวที) พร้อมชมละครสัตว์มอสโก และล่องเรือจังเกิลครูซ นอกจากนี้ภายในมารีนปาร์ค มีบริการอาหารฟาสต์ฟู้ดให้ท่านเลือกสรรมากมาย พร้อมเครื่องดื่มและอาหารว่าง หรือจะเลือกอร่อยกับอาหารบุปเฟต์ที่ภัตตาคารจังเกิลครูซผู้ใหญ่ท่านละ 120 บาท เด็ก 80 บาท พร้อมด้วยร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก เกมส์ทาวน์ บริการเช่ารถเข็นสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ และบริการอื่นๆ
อำเภอปาย "สวรรค์บนดินของนักท่องเที่ยว"
ปาย เป็นเมืองเก่าแก่ มีหลักฐานว่า เจ้าเมืองคนแรกคือ ขุนส่างปายและในสมัย พระเจ้าโหตรประเทศ พระราชาธิบดี เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ส่ง เจ้าแก้วเมือง ออกสำรวจชายแดน ได้พบว่าภูมิประเทศน่าสนใจ จึงแนะนำให้ขุนส่างปายย้ายเมืองมาตั้งฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปายเพราะที่ราบกว้างขวาง ผู้คนจึงเรียกเมืองใหม่ ว่า เวียงใต้ ส่วนเมืองเก่าเรียกว่า เวียงเหนือ
พ.ศ. 2454 เมืองปายได้ยกฐานะเป็นอำเภอ โดยมีนายอำเภอคนแรกชื่อ รองอำมาตย์เอกหลวงเจริญเขตเขลางค์นคร (สอน สุขุมินทร์)
เมืองปาย สมัยก่อนประวัติศาสตร์
อำเภอปาย มีร่องรอยการอาศัยอยู่ของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และมีชุมชนโบราณที่ปรากฏชื่อในตำนาน คัมภีร์ใบลานหลายเมือง และมีประวัติสืบต่อกันมานับร้อยปี ประกอบกับมีหลักฐานโบราณคดีปรากฏอยู่ในชุมชนโบราณดังกล่าวด้วย จากการศึกษาของพระครูปลัดกวีวัตน์ธนจรรย์ สุระมณี วัดเจดีย์หลวงอำเภอเมือง เชียงใหม่มีรายงานการสำรวจว่า ในเขตเมืองน้อย อำเภอปาย มีหลักฐานโบราณคดี สมัยก่อนประวัติศาสตร์ดังนี้
-ถ้ำป่าคาน้ำฮู ตำบลปางหมู อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
-ถ้ำน้ำลอด อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน พบหลักฐานของใช้ของคนถ้ำในยุคนั้นคือ กำไลแขนทำด้วยโลหะ, หม้อดินลายเชือกทาบ,ขวานหินขุด ระแทะไม้ ฯลฯ
-ถ้ำดอยปุ๊กตั้ง อยู่ทางทิศใต้ของบ้านห้วยเฮี้ย (ตำบลเวียงเหนือ อำเภอปาย) ใช้เวลาเดินทางด้วยเท้าจากหมู่บ้าน ประมาณ 1 ชั่วโมง พบเครื่องใช้ของมนุษย์ถ้ำมีลักษณะเช่นเดียวกันกับที่พบในถ้ำผีแมนแห่งอื่น ๆ
ชุมชนโบราณเมืองน้อย
ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ได้กล่าวถึงเรื่องราวเมืองน้อยว่า ในรัชกาลของพระญาติโลกราช ปกครองเชียงใหม่ พ.ศ. 1984 – 2030 พระองค์มีโอรสชื่อท้าวบุญเรือง หรือศรีบุญเรืองครองเมืองเชียงราย ต่อมาถูกแม่ท้าวหอมุกกล่าวโทษ จึงให้ท้าวบุญเรืองไปครองน้อย ในที่สุดก็ถูกฆ่าตาย เมื่อสิ้นสมัยพระญาติโลกราชแล้ว โอรสของท้าวบุญเรือง ชื่อพระญายอดเชียงรายได้เสวยราชย์เป็นกษัตริย์เชียงใหม่ ปกครองได้ไม่นานถูกกล่าวหาว่า พระองค์ ราชาภิเษกวันจันทร์ ถือว่าเป็นกาลกิณีแก่บ้านเมือง ไม่ประพฤติอยู่ในขนบธรรมเนียมของท้าวพระญา ไม่ประพฤติอยู่ในทศพิธราชธรรมและยังมีใจฝักใฝ่ไมตรีกับห้อ เสนาอำมาตย์จึงได้ล้มราชบัลลังค์ และได้อัญเชิญให้ไปครองเมืองน้อย ใน พ.ศ. 2038 พระญายอดเชียงรายประทับอยู่เมืองน้อยได้ 10 ปี ก็เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2048 เมื่อพระชนมายุได้ 50 พรรษา พระญาเมืองแก้วกษัตริย์เมืองเชียงใหม่ราชโอรสของพระญายอดเชียงราย ได้เสด็จมาถวายพระเพลิงพระศพของพระญายอดเชียงรายที่เมืองน้อย และสร้างอุโบสถครอบ
ครั้นพระญาเมืองแก้วเสด็จสวรรคต ในปี พ.ศ. 2068 เสนาอำมาตย์ได้อัญเชิญพระอนุชาจากเมืองน้อยให้มาครองราชย์เชียงใหม่ และกทำราชาภิเษกเป็น พระญาเมืองเกส ใน พ.ศ. 2069 พระองค์ครองราชย์จนถึง พ.ศ 2081 (พระญาเมืองเกส ครองราชย์เมืองเชียงใหม่ ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2068 – 2081 ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2086 – 2088) เสนาอำมาตย์ไม่ชอบใจได้ปลดพระองค์ออกจากราชบัลลังค์ และอัญเชิญท้าวชาย ราชโอรสให้ครองราชย์แทน ในปี พ.ศ. 2081 ท้าวชายประพฤติตนไม่อยู่ทศพิธราชธรรม เสนาอำมาตย์ได้รอบปลงพระชนม์ใน พ.ศ. 2086 และได้อัญเชิญพระญาเมืองเกส จากเมืองน้อยมาครองราชย์ในเมืองเชียงใหม่เป็นครั้งที่สอง
บ้านเมืองน้อยมีโบราณสถานขนาดใหญ่ที่ชาวบ้านเรียกว่า “วัดเจดีย์หลวง” ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 4 ไร่ มีแนวกำแพงกำหนดเขตพุทธาวาส ขนาด 80 X 100 X 1 เมตร ขนาดซุกซีวิหาร ฐานซุกซีอุโบสถขนาด 4 X 8.50 เมตร (สันนิษฐานว่าเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระญายอดเชียงราย) ซุ้มประตูโขงด้านทิศตะวันออก เจดีย์ขนาด 11 X 11 X 17 เป็นเจดีย์แบบเชิงช้อนย่อเหลี่ยม บางส่วนยังมีลวดลายการก่ออิฐทำมุม เจดีย์ถูกสร้างขึ้นจากอิทธิพลของศิลปะเชียงใหม่ในราวพุทธศตวรรษที่ 20 –21 เจดีย์ถูกขุดค้นหาสมบัติลักษณะแบบผ่าอกไก่ จากยอดถึงฐานต่ำสุด มีหลุมลึกประมาณ 1 เมตร ทำให้มองเห็นฐานรากของการก่อสร้างเจดีย์ที่ใช้ก้อนหินธรรมชาติขนาดใหญ่วางซ้อนกันเป็นฐานราก ก้อนอิฐที่ใช้ก่อสร้างมีขนาด 6 X 11 นิ้ว และในบริเวณวัดเจดีย์หลวง ยังพบ จารึกบนแผ่นอิฐ 2 ชิ้น
จารึกหลักแรก พบในบริเวณด้านเหนือของโบราณสถาน จารึกด้วยอักษรธรรมล้านนา ภาษาไทยวน จำนวน 3 บรรทัด บรรทัดที่ 2-3 จารึกกลับหัว จากบรรทัดที่ 1 ความว่า “(1) เชแผง (2) เนอ เหย เหย (3) ฅนบ่หลายแล แล แล “ ความในจารึกชิ้นนี้กล่าวถึงนายเชแผง ผู้เป็นหนึ่งในผู้ปั้นอิฐในการก่อสร้างศาสนสถานแห่งนี้ รำลึกถึงคนจำนวนไม่มากนักในการสร้างศาสนสถานแห่งนี้ หรือในเมืองนี้
จารึกหลักที่สอง พบก่อร่วมกับอิฐก้อนอื่น ๆ ในบริเวณแนวกำแพงด้านใต้ของโบราณสถานจารึกด้วยอักษรฝักขาม ภาษาไทยวน จำนวน 1 บรรทัด ส่วนครึ่งแรกหายไป ส่วนครึ่งหลังอ่านได้ใจความว่า “สิบกา (บ)” จารึกชิ้นนี้บอกผู้ปั้นว่าสิบกาบ คำว่า “สิบ” อาจหมายถึงตำแหน่งขุนนางล้านนาสมัยโบราณ เรียกว่า “นายสิบ” หรือเนื่องจากอิฐส่วนหน้าที่หักหายไปบริเวณกี่งกลางของก้อนอิฐนั้น คำว่า “สิบกา(บ)” อาจสันนิษฐานได้ว่า ข้อความเต็มด้านหน้าที่หายไปเป็น “(ห้า) สิบกาบ” หรือขุนนางระดับนายห้าสิบก็อาจเป็นได้
วิวรรณ์ แสงจันทร์ กล่าวว่า จากหลักฐานโบราณคดี ซากวัดร้าง ต่าง ๆ จำนวน 30 แห่ง ในเมืองน้อย รวมทั้งวัดเจดีย์หลวง และข้อความที่พบ สะท้อนให้เห็นว่าชุมชนที่นี่เป็นเมืองใหญ่ในอดีต มีฐานะทางเศรษฐกิจดีพอที่จะสร้างศาสนสถานขนาดใหญ่จำนวนมากได้
นอกจากเมืองน้อยแล้ว เมืองปายยังพบชุมชนโบราณที่บ้านเวียงเหนือ ตำบลเวียงเหนือ ตั้งอยู่ในตำแหน่งละติจูด 19 องศา 22 ลิปดา 34 ฟิลิบดา เหนือ ลองจิจูด 98 องศา 27 ลิปดา 17 ฟิลิปดา ตะวันออก
เมืองปายมีหลักฐานตำนานกล่าวถึงประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ในสมัยพระญาแสนพู กษัตริย์เชียงใหม่ (พ.ศ. 1868 – 1877) สร้างเมืองเชียงแสน พ.ศ. 1871 ได้กำหนดให้เมืองปายเป็นเมืองขึ้นของพันนาทับป้อง ของเมืองเชียงแสนในสมัยนั้น (พงศาวดารโยนก หน้า ตำนานเชียงแสน ว่าเมืองจวาดน้อย /จวาดน้อย/สันนิษฐานว่าเป็นคำเดียวกับคำว่า ชวาดน้อย)
วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2028 ปีมะเส็ง สัปตศก (วันศุกร์ เดือน 8 ขึ้น 1 ค่ำ จุลศักราช 847 ปีดับใส้) เจ้าเถรสีลสังยมะ ให้หล่อพระพุทธรูปเวลารับประทานอาหารเช้า(ยามงาย) (ฮันส์ เพนธ์, 2542)
พ.ศ. 2032 มหาเทวี (พระมารดาพระญายอดเชียงราย) พระราชทานที่ถวายพระมหาสามีสัทธัมมราชรัตนะ ก่อสร้างมหาเจดีย์ มหาวิหาร ผูกพัทธสีมาอุโบสถ วัดศรีเกิด (ปัจจุบันชาวบ้านเรียก วัดหนองบัว (ร้าง) บ้านแม่ฮี้ ตำบลแม่ฮี้ อำเภอปาย) พ.ศ. 2033 มีการถวายข้าทาสอุปฐากพระมหาสามีสัทธัมมราชรัตนะ อุโบสถ มหาวิหาร มหาเจดีย์ พระพุทธรูป ห้ามไม่ให้ผู้ใด นำข้าทาสเหล่านี้ไปทำงานอื่น หากยังเคารพนับถือพระญายอดเชียงรายอยู่ หากฝ่าฝืนขอให้ตกนรกอเวจี
พ.ศ. 2044 ปีระกา ตรีศก เจ้าหมื่นพายสรีธัม(ม์)จินดา หล่อพระพุทธรูป หนักสี่หมื่นห้าพันทอง เดือนเจ็ด ไว้ในอุโบสถวัดดอนมูน เมืองพายแล(เมืองพาย /อำเภอปาย) (ปัจจุบันพระพุทธรูปนี้ เก็บรักษาไว้ ณ วัดหมอแปง ตำบลแม่นาเติง อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ดร.ฮันส์ เพนธ์ คลังข้อมูลจารึกล้านนา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อ่านฐานพระพุทธรูป วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2549 ความว่า “ในปีร้วงเร้า สักราชได้ ๘๖๓ ตัว เจ้าหมื่นพายสรีธัมจินดา ส้างรูปพระพุทธะเป็นเจ้าตนนี้ สี่หมื่นห้าพันทอง ในเดือนเจ็ด ไว้ในอุโบสถวัดดอนมูน เมืองพายแล” (ดร.ฮันส์ เพนธ์ กล่าวว่า หมื่น เป็นตำแหน่งเจ้าเมืองพาย ตำแหน่งใหญ่เทียบเท่าเมืองเชียงแสน เมืองลำปาง/ 1 ทอง เท่ากับ 1.1 กรัม)
พ.ศ. 2124 ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ กล่าวว่า พระญาลำพูนมาครองเมืองปาย (พลาย)
พ.ศ. 2283 ปรากฏชื่อวัดป่าบุก ตั้งอยู่ทิศใต้ของเมืองปาย (พลาย) ช้างตัวผู้ ดังความว่า “วัดป่าบุก ใต้เมืองพายช้างพู้” (คัมภีร์ ธัมมปาทะ (ธรรมบท) ปัจจุบันเก็บไว้ที่วัดดวงดี อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่)
พ.ศ. 2330 เมืองปายรวมตัวกับเมืองพระเยา เมืองเชียงราย เมืองฝาง เมืองปุ เมืองสาด กันขับไล่พม่า แต่เมืองพระเยาทำการไม่สำเร็จ
พ.ศ. 2412 ขณะที่พระเจ้ากาวิโลรสสุริยงวงศ์ ดำรงตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ (พ.ศ. 2399-2413) ลงไปถวายบังคมกราบทูล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพ ฯ ฟ้าโกหล่านเมืองหมอกใหม่ ยกกองทัพมาตีเมืองปาย ซึ่งสมัยนั้นมีฐานะเมืองขึ้นของเชียงใหม่ เจ้าราชภาคีไนย นายบุญทวงศ์ นายน้อยมหาอินท์ รักษาการเมืองเชียงใหม่ ทำหนังสือถึง เจ้าเมืองลำปาง และเมืองลำพูน ให้มาช่วยเมืองปาย หลังจากนั้นเจ้านายและกองทัพจากสามเมือง ยกกำลังมาช่วยเมืองเชียงใหม่รบกับกองทัพของฟ้าโกหล่าน โดยทีนายบุญทวงศ์ นายน้อยมหาอินท์ คุมกำลัง 1000 คน จากเมืองลำปาง มีนายน้อยพิมพิสาร นายหนายไชยวงศ์ คุมกำลัง 1000 คน จากเมืองลำพูนมีนายอินทวิไชย นายน้อยมหายศ คุมกำลัง 500 คน แต่ไม่สามารถป้องกันเมืองปายได้ กองทัพฟ้าโกหล่าน จุดไฟเผาบ้านเรือน ในเมืองปาย และกวาดต้อนผู้คนและครอบครัวไปอยู่เมืองหมอกใหม่ กองทัพทั้งสามเมืองจึงได้ติดตามไปถึงฝั่งแม่น้ำสาละวิน แต่ตามไม่ทันจึงได้เดินทางกลับ
พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า เมืองปาย ตั้งแต่ถูกฟ้าโกหล่านตีแตก จุดไฟเผาบ้านเมือง กวาดต้อนผู้คนไปเมืองหมอกใหม่แล้ว เมืองปายมีสภาพเป็นร้างบางส่วน ไม่มีผู้รักษาเมือง ยังถูกกองทัพเงี้ยว และลื้อ กวาดต้อนครอบครัวไปอยู่เป็นประจำ จึงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ตั้ง พระยาชัยสงคราม (หนานธนันไชย บุตรราชวงศ์มหายศ) เป็นพระยาเกษตรรัตนอาณาจักร ไปปกครองเมืองปาย ให้ยกเอาคนจากเมืองเชียงใหม่ไปตั้งเมืองปาย ให้เป็นภูมิลำเนาบ้านเรือนเหมือนเดิม เพื่อจะได้ป้องกันรักษาด่านเมืองเชียงใหม่
พ.ศ. 2438 พระยาดำรงราชสิมาผู้ว่าราชการเมืองปายถูกพวกแสนธานินทร์พิทักษ พ่อเมืองแหง ปล้นแล้วแสนธานินทร์พิทักษประกาศเกลี้ยกล่อมคนเมืองปั่น เมืองนาย เมืองเชียงตอง เมืองพุ มารบเมืองปายและจะเก็บริบเอาทรัพย์สิ่งของให้หมด พระยาทรงสุรเดช พร้อมด้วยเจ้าเมืองเชียงใหม่ได้ประชุมเจ้านายหกตำแหน่งมอบหมายให้เจ้าอุตรโกศลออกไปปราบปราม
วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2449 ส่างนันติคนในบังคับอังกฤษ ใช้ดาบฟันส่างสุนันตา และเนอ่อง คนในบังคับสยาม ตาย ณ ตำบลกิ่วคอหมา แขวงเมืองปาย และนำทรัพย์สินไปมูลค่าประมาณ 1,000.-บาท ศาลต่างประเทศ เมืองนครเชียงใหม่ ได้ตัดสินประหารชีวิต (คำพิพากษาที่ 25/125 ศาลต่างประเทศ เมืองนครเชียงใหม่ วันที่ 24 สิงหาคม รัตนโกสินทร์ศก 125 อ้างในศาลจังหวัดแม่ฮ่องสอน 2535/คำพิพากษานี้เป็นคำพิพากษาในสมัยที่สยาม (ไทย) ตกอยู่ภายใต้เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตตามสนธิสัญญาเบาว์ริง พ.ศ. 2398) และจำเลยได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์กรุงเทพ ได้ยกฟ้องอุทธรณ์ของจำเลย และให้ประหารชีวิตตามคำพิพากษาศาลล่าง (คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ 20 ปี ค.ศ. 1906 อ้างใน ศาลจังหวัดแม่ฮ่องสอน พ.ศ. 2536)
พ.ศ. 2454 กระทรวงมหาดไทยได้ยกเลิกการปกครองเมือง เปลี่ยนฐานะเมืองปายเป็นอำเภอปาย และได้แต่งตั้งหลวงเจริญเขตเขลางค์นคร (สอน สุขุมมินทร์) เป็นนายอำเภอคนแรกระหว่าง พ.ศ. 2454 – 2468